Support
Suwannapoom
022783793,0863514336 : LINE ID :sairungharn , khonkorn
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest
รณฤทธฺ์ ศิริยามันต์
- Guest -
guest
เอก
- Guest -

Post : 2015-11-13 15:42:50.0     Forum: สอบถาม  >  สอบถามเรื่องการฝากขายสินค้าครับ

 สบู่และเจลกวาวเครือบำรุงผิว 

เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรกวาวเครือ จากธรรมชาติ ครับ สิ้นค้ามี อย. ครับ

ต้องการฝากขายในโครงการหลวงครับ จะต้องทำอย่างไรบ้างครับ

 

guest

Post : 2015-07-01 11:15:00.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว

 

« เมื่อ: มีนาคม 17, 2012, 11:39:53 AM »
 

http://www.santeherb.com/tropicana-oil/326-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A760%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B8%A5-tropicana.html

ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวต่อการบำรุงผิวและเส้นผม
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ช่วยการบำรุงผิวพรรณ:
- ช่วยผิวพรรณอ่อนนุ่มชุ่มชื่น และกระชับเรียบเนียน ดูอ่อนกว่าวัย
- ช่วยบำรุงผิวหน้าและผิวกายเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ภายหลังจากการอาบน้ำ
- ใช้นวดตามหลักอายุรเวท เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและความเหนื่อยล้า
- ใช้เป็นส่วนผสมหลักในการทำเครื่องสำอาง เสริมสร้างคอลลาเจนและสร้างความยืดหยุ่นให้่ผิว
- ใช้เช็ดหน้าเพื่อทำความสะอาดเครื่องสำอาง
- ป้องกันผิวแห้งแตกในหน้าหนาว
- ทาผิวที่ถูกเผาไหม้จากแสงแดด
- ทาหน้าท้องช่วงตั้งครรภ์ เพื่อลดรอยแตกลาย
- ทาผิวเมื่อเกิดอาการแพ้จากแมลง เช่น ยุง, มด

ประโยชน์น้ำมันมะพร้าวดีต่อผิวหนังคือ....
1. ฆ่าเชื้อโรคที่ทำอันตรายต่อผิวหนัง เพราะน้ำมันมะพร้าว มีกรดลอริก ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดเดียวกันกับที่อยู่ใต้ผิวหนัง คอยช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง สิว ฝ้า กระ หูด
2. ต่อต้านการเติมออกซิเจน น้ำมันมะพร้าว มีสารต่อต้านการเติมออกซิเจน หรือ แอนตีออกซิแดนต์ (antioxidant) ซึ่งช่วยต่อต้านการเติมออกซิเจนสาเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุของการเหี่ยวย่นของผิวหนัง จึงช่วยปกป้องผิวหนังจากการทำลายของแสงแดดได้ดี
3. ซึมสู่ผิวหนังได้รวดเร็ว น้ำมันมะพร้าวมีโมเลกุลขนาดกลาง จึงซึมผ่านผิวหนังได้สะดวก และ รวดเร็ว
4. กระตุ้นให้เซลล์ที่ตายแล้วหลุดลอกออก และเกิดเซลล์ใหม่ น้ำมันมะพร้าวเป็นสารธรรมชาติ ที่ช่วยให้เซลล์ที่ตายแล้ว หลุดลอกออกจากผิวหนัง (natural exfoliant) ที่ดีที่สุด หากผิวหนังไม่สามารถลอกเซลล์ที่ตายแล้วออกไป เซลล์ที่เกิดใหม่ จะเกิดบนเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้ผิวหนังหยาบกระด้าง และแตก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้เซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกไป และ กระตุ้นให้เกิดเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนวัย ปราศจากรอยเหี่ยวย่น และอาการชราภาพก่อนวัย
5. ผิวนุ่ม ชุ่ม เนียน: น้ำมันมะพร้าวแทรกซึมเข้าไปใต้ผิวหนังอย่างรวดเร็ว ทำหน้าที่เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้น (moisturizer) ให้แก่ผิวหนังอย่างดี เพราะน้ำมันมะพร้าว เป็นสารตัวเดียวกันกับน้ำมันธรรมชาติ (sebum) ที่มีอยู่ในต่อมขุมขนใต้ผิวหนัง
6. ป้องกันและรักษา ฝ้า กระ จุด หรือรอยบุ๋ม: น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริกซึ่งจะเปลี่ยนเป็นโมโนลอริน ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของฝ้า กระ หรือจุด ต่างๆ อีกทั้งยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผิวหนัง
7. ป้องกันและรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน: น้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อโรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน  โรคผิวหนังอักเสบ และโรคผิวหนังติดเชื้ออื่นๆ
8. ป้องกันและรักษาการเกิดอาการไหม้เกรียมเพราะถูกแสงแดด (Sunburn) น้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกันการอักเสบ หรือไหม้เกรียมของผิวหนัง เนื่องจากถูกแสงแดด เป็นเวลานาน เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นยากันแดดได้ดี อีกทั้งยังไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนครีมกันแดดส่วนมาก
9. ป้องกันริมฝีปากแตก: น้ำมันมะพร้าวทำหน้าที่เป็นยาทากันริมฝีปากแตก (Lip balm) ได้ดี เพราะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ริมฝีปาก
10. รักษาพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย นำน้ำมันมะพร้าวมาถูบริเวณที่เป็นผื่นแดง ไม่นานผื่นแดงนั้นก็จะหายไป พร้อมทั้งอาการคันหรือปวดแสบปวดร้อนจากพิษแมลง ก็จะดีขึ้น
11. ป้องกันและรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง: นอกจากจะทำให้ผิวหนังดูอ่อนวัยแล้ว น้ำมันมะพร้าวซึ่งถูกดูดซึมเข้าไปในผิวหนังได้ง่าย เพราะมีโมเลกุลขนาดเล็ก ยังช่วยสร้างความแข็งแรงให้แก่เซลล์ผิวหนัง ทั้งผิวด้านนอก และส่วนลึก จึงช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้ อันส่งผลให้สามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้เป็นอย่างดี
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ช่วยการบำรุงเส้นผม:
- ใช้ลูบไล้เส้นผมให้เงางามนุ่มสลวย และช่วยปรับสภาพหนังศีรษะให้มีสุขภาพดี
- ใช้หมักผมก่อนสระ ช่วยบำรุงรากผม ป้องกันรังแค ลดการหลุดร่วงของเส้นผม และสร้างเส้นผมใหม่
- ช่วยฟื้นฟูเส้นผมที่แห้งเสียจากการทำสี,ย้อม,ดัด,โกรก ฯลฯ
เรียบเรียงจาก "สวยได้ด้วยน้ำมันมะพร้าว" โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา
 
น้ำมันมะพร้าวเป็นโทษกับร่างกายหรือไม่ ?
 
วงการแพทย์และนักโภชนาการสมัยใหม่ค้นพบแล้วว่า น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษกับร่างกายเลย อันที่จริงสิ่งที่ให้โทษกับร่างกายคือน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีหรือน้ำมันพืช ที่เราใช้ปรุงอาหารอยู่ในปัจจุบัน ดังที่เป็นข่าวในอเมริกาว่า ผู้ดำเนินกิจการอาหารฟาสท์ฟู้ดถูกฟ้องฐานทำให้ผู้บริโภคเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะ ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มีกรดไขมันทรานส์มาปรุงอาหาร ในทางกลับกันน้ำมันมะพร้าวกลับช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง ไม่ทำให้อ้วนเพราะเผาผลาญได้เร็วจึงไม่สะสม และไม่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น และความที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวจึงช่วยควบคุมการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันใน ร่างกาย ช่วยลดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษแม้แต่กับเด็กเล็ก เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริค ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้มากในน้ำนมแม่นั่นเอง วิธีรับประทานน้ำมันมะพร้าวที่ดีที่สุดคือใช้น้ำมันมะพร้าวแทนน้ำมันพืชชนิด อื่นๆในการปรุงอาหาร หรือจะรับประทานเป็นอาหารเสริมก็ได้ ผู้ใหญ่รับประทานวันละ 3-4 ช้อนชา เด็กวันละ 1-2 ช้อนชา โดยเฉลี่ยแบ่งรับประทานทีละน้อยจนครบจำนวนในแต่ละวัน หรือจะผสมในเครื่องดื่มร้อนๆเช่นโกโก้ร้อนหรือน้ำผลไม้อุ่นๆก็ได้ น้ำมะเขือเทศอุ่นผสมน้ำมันมะพร้าวมีรสชาติอร่อยมาก

guest

Post : 2015-04-22 15:17:56.0     Forum: สอบถาม  >  หาสินค้า

guest
สมพร
- Guest -

Post : 2014-12-02 16:40:47.0     Forum: สอบถาม  >  สั่งซื้อสินค้า

ถ้าสั่งซื้อ10กล่องคิดค่าส่งเป็นรายกล่องหรือเปล่าคะ

guest
Si
- Guest -

Post : 2014-11-21 20:41:58.0     Forum: สอบถาม  >  ชาคาโมมาลย์ โครงการหลวง

สอบถามเรื่องชาคาโมมาลย์ โครงการหลวง ตอนนี้ที่ร้านมีสินค้าไหม

guest

Post : 2014-09-07 09:30:31.0     Forum: สอบถาม  >  สอบถามรายการสินค้าค่ะ

 สั่งของไปเมื่วันที่ 1สค.57ตามเลขที่รายการสั่งซื้อ

ORDER # 000264. 

โอนเงินวันที่2สค.67 จำนวนเงิน 435 บาท แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันเลยค่ะ รบกวนตรวจสอบด้วย

 

guest
ชนินทร์
- Guest -

Post : 2014-07-29 09:19:07.0     Forum: สอบถาม  >  สอบถามสินค้า

 มียาเห็ดหลินเจือแดง ไหมครับ ราคาเท่าไหร ร้านอยู่ที่ไหนบ้าง ผมอยู่ที่ชลบุรี 

ซื้อผ่านเน็ตได้ไหมครับ

guest
สุทิน หาวิชา
- Guest -

Post : 2014-05-13 18:48:48.0     Forum: สอบถาม  >  ผลของเคฟกูสเบอร์รีสดมีขายมั้ยครับ (ผลโทงเทง)

 ผลของเคฟกูสเบอร์รีสดมีขายมั้ยครับ (ผลโทงเทง)ถ้ามีมีเยอะไม่ครับ

guest
น.ส.วราภรณ์ คชเพชร
- Guest -

Post : 2014-04-27 22:06:29.0     Forum: สอบถาม  >  สนใจอยากรับสินค้าไปขายค่ะ

 อยากเปิดร้านขายสินค้าค่ะต้องทำยังไงบ้างค่ะ

guest
น้องซีน
- Guest -

Post : 2014-04-12 11:18:28.0     Forum: สอบถาม  >  เม็ดบัวอบ

ไม่ทราบว่าทางร้านมีขายเม็ดบัวอบกรอบหรือเปล่าค่ะ สนใจจะซื้อค่ะ ขอบคุณค่ะ.

guest
ส้มโอ
- Guest -

Post : 2014-04-09 11:46:21.0     Forum: สอบถาม  >  สอบถามเรื่องการรับฝากขายสินค้าคะ

 

สอบถามเงื่อนไขการฝากขายสินค้าอ่ะคะ ประเภทอาหารสุขภาพ มะคาเดเมีย ลูกเดือยกรอบ งาดำผงชงพร้อมดื่ม และอื่นๆ

รบกวนขอข้อมูลด้วยนะคะ

 

guest
ชวิศา อินทสร
- Guest -

Post : 2014-04-02 00:04:33.0     Forum: สอบถาม  >  บัวหิมะ

บัวหิมะ

guest

Post : 2014-03-04 17:46:00.0     Forum: สอบถาม  >  อยากทราบราคาส่งครับจะชื้อไปขายต่อ

พอดีผมมีพื้นที่เช่าเล็กๆในโลตัสสุราษครับอยากจะรับสินค้าประเภทสมุนไพรนี้มาขายต่อครับอยากทราบราคาส่งครับ

guest

Post : 2014-02-28 12:53:58.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ฟิต แบบเบิร์ด ธงไชย กับเคล็ดไม่ลับตลอด 24 ชั่วโมง

ฟิต แบบเบิร์ด ธงไชย กับเคล็ดไม่ลับตลอด 24 ชั่วโมง

 

     ฟิต.....แบบ  “พี่เบิร์ดหนุ่มคนนี้เป็นขวัญใจของคนทั่วประเทศ พี่เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย ซุเปอร์สตาร์  เบอร์หนึ่งของเมืองไทย แฟนคลับของเขามีตั้งแต่เพิ่ง ตั้งไข่ วัยรุ่น วัยทำงาน  คุณพ่อ คุณแม่ เรื่อยไปจนถึงวัยไม้ใกล้ฝั่ง ไม่ว่าจะออกอัลบั้ม  หรือซิงเกิ้ลไหนเป็นฮัมเพลงของพี่เบิร์ดได้ทั้งนั้น  แม้จะอยู่ในวงการบันเทิงมากกว่า 20 ปี

 

 แต่ยังรักษาความเป็น ซุป-ค้า และยังมองไม่เห็นว่า   จะมีใครมาฉกตำแหน่งนี้ไปได้   และสิ่งที่เห็นมาตลอดกว่า 20 ปี  ก็คือรูปร่างหน้าตาของพี่เปิร์ด  ยังดูเด็กเฟิร์ม อย่างกับถูกสตั๊ฟฟ์ไว้มีเพียงตัวเลขของอายุเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น  ทุกคนคงอยากรู้แล้วล่ะซิว่า   เขามีเคล็ดลับอย่างไร มีคนบอกว่าตอนนี้เด็กกว่าทุกปีที่ผ่านมาอีก 10 ปี  มันจะลงไปขนาดไหน   จะกลายเป็นปัญญาอ่อนไปเลยหรือเปล่าก็ไม่รู้พี่เบิร์ดเปิดปากเล่าพร้อมกับเสียงหัวเราะ

 

    การมีสุขภาพดีต้องเริ่มจากข้างใน   พี่เบิร์ดว่าคนเราจะมีสุขภาพดีต้องคิดบวก  เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้  แต่จะทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง ตัวพี่เองไม่สนใจเรื่องคนอื่น ไม่ตีใคร ไม่ว่าใคร ทุกอย่างรอบตัวเรามีทั้งสิ่งดีและไม่ดี ร่างกายเราน่าสงสาร ตาเราถูกสร้างมาให้มองคนอื่น เรามองตัวเราแต่เวลาส่องกระจกแป๊บเดียว มันก็สาระแหนไปดูคนอื่นแล้ว  

 

           

 

       ดังนั้นเราต้องมีเวลาอยู่กับตัวเองให้มาก เราต้องเลือกเอง อะไรที่ไม่ใช่เรื่องของเราก็ไม่ต้องไปอยากรู้ เมื่อข้างในดี สารเคมีในร่างกายก็จะสมดุล มีเวลาอยู่กับตัวเอง มีสติ มีเวลาคิด พี่เบิร์ดไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เพราะเรามีสติดี และรู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี ก็อย่าเอามาให้ร่างกายเรา หลายคนบอกว่าต้องเข้าวัดไปสงบจิตใจ พี่ว่าอยู่ที่บ้านก็ทำให้ใจสงบได้ แต่เราอยู่กับตัวเอง ควบคุมจิตใจตัวเองได้ มันก็จะมีสติ คราวนี้สมองเราก็จะคิดจัดระบบในร่างกายทุกอย่าง มีสติคิดว่า วันนี้เราจะกินอะไรดี พอเริ่มหยิมอะไรเข้าปาก เราก็มีสติคิดแล้วว่า สิ่งนั้นมันจะดีต่อร่างกายเราหรือเปล่า

 ที่สำคัญคือ วิธีคิดของเรา วางแผนการกินให้ดี พี่ไม่ค่อยมีข้อจำกัด เรื่องการกินนัก เช้าขึ้นมาส่งแรก คือ

 

                         http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/679/685/large_da1da1da11.JPG?1295690907

 

     กินน้ำมันมะกอก และน้ำมันมะพร้าว อย่างละ 1 เป็ก น้ำมันมะกอกพี่เบิร์ดกินมานาน 10 ปีแล้ว  แต่น้ำมันมะพร้าว  เพิ่งมาเริ่มกินเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง หลังจากนั้นก็กินข้าว เมนูแล้วแต่ว่าอยากกินอะไร อย่างที่บอกเราต้องมีสติ เราต้องคิดก่อนว่า วันนี้เราทำอะไร จะกินอะไร กินข้าวขาหมู ไขมันเยอะนะ  กินแล้วต้องออกกำลังกายอีกกี่ชั่วโมง เราต้องคิดวางแผนก่อน  หากวันนี้จำเป็นต้องใช้พลังงานมากก็กินเยอะ ช้าง ม้า วัว ควาย กินเข้าไปเลย (หัวเราะ)  พอมื้อเที่ยงก็จะลด ปริมาณลง  อาหารที่กินเข้าไปก็ถูกนำไปใช้หมดพอดี   มื้อเย็นจะเป็นสลัดผักชามโตๆ  หลังจากนั้นก็จะไม่กินอะไรแล้ว อ้อ.... จะกินน้ำมะพร้าว 1 แก้ว  ก่อนนอนทุกคืน พี่สาวบอกว่า มีประโยชน์มาก    

                      

          http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/678/674/large_mmddmm.JPG?1295512256

 

      ต้องมีวินัย ออกกำลังกายเสริม การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญบางคนอ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย พี่ว่าไม่จริง เพราะการออกกำลังกายสามารถทำได้ตลอดเวลา พี่เบิร์ดเวลาแปรงฟันก็จะบริหารก้นไปด้วย   เวลาเดินทางอยู่บนรถเราก็จะซิทอัพได้ ทำไปทีละนิดละหน่อย พี่ซิทอัพ วันละ 300 ครั้ง  จะทำช่วงตื่นนอน กีฬาเล่นหลายอย่าง ทั้งยกเวท ว่ายน้ำ วิ่ง ตีเทนนิส แล้วแต่ว่าจะเลือกออกกำลังกายอย่างไหน  เราต้องรู้ก่อนว่าวันนี้อยากได้กล้ามไหล่  กล้ามแขน วันนี้จะเอาชิกแพค  เราต้องมีสติคิดวางแผนก่อน 

             

     พี่เบิร์ดไม่มีกำหนดว่า วันนี้เวลานี้ต้องออกกำลังกายด้วยวิธีนั้นวิธการนี้ กี่ชั่วโมงอย่างที่บอกเล่นหลายอย่างแต่ต้องทำเป็นประจำ ก็มีบางอารมณ์ที่ไม่อยากออกกำลังกายเหมือนที่หลายๆคน  เป็นวันนี้ทำงานเยอะฉันเหนื่อยไม่เอาไม่ออกบางทีก็ต้องยอม   แต่ไม่ใช่ทุกวันพรุ่งนี้ต้องออกกำลังกายนะ

 

   เราต้องมีวินัยกับตัวเอง  พยายามทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุก แข่งกันเล่น  สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ไปในตัวด้วย พี่เบิร์ดเคยทดลองหลายครั้งแล้ว เวลาเรามีปัญหา ผลการแก้ปัญหา ที่ได้ก่อนเหงื่อออกและหลังเหงื่อออก  จะแตกต่างกัน เวลาเราออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่ง สารเอ็นโดฟิน ออกมา เราจะผ่อนคลายทำให้เรามีสติและคิดแก้ปัญหาได้ดีกว่า

 

                          http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/678/669/large_vkvk.JPG?1295511922

 

        หน้าตาผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง  หน้าเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดที่เราต้องดูแล เพราะมันโลนเปลื่อยเปล่าไม่มีอะไรปกคลุมเลย เคล็ดลับของพี่เบิร์ดง่ายๆเลยคือ ว่านหางจระเข้ ที่บ้านพี่จะปอก บด และแช่ใส่ตู้เย็นไว้เลย ก่อนอาบน้ำ ก่อนนอนก็จะเอามาทาหน้า หรือไม่ก็ชโลมทั้งตัวเลย ไม่ล้างออกก็ยังได้แต่ต้องทำให้สะอาด

                          

            เวลากลับจากทำงานก็ต้องล้างเมคอัพออก จากนั้นก็ทาว่านหางจระเข้ ครีมบำรุงก็สำคัญ พี่ก็จะใช้เหมือนคนอื่นๆ เช่น มอยเจอร์ไรเซอร์  อายครีม ครีมกันแดดเวลากลางวันและต้องขยันเติมทุก 2 ชั่วโมง ส่วนยี่ห้อพี่ไม่เจาะจงเพราะพี่ไม่เคยซื้อเอง พี่สาวจะเป็นคนซื้อให้ทั้งหมด สำคัญคือ ต้องใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

                       http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/678/671/large_mbmb.JPG?1295511974

 

     สำหรับผิวพรรณ นอกจากว่านหางจระเข้แล้ว ก็จะมีน้ำมะขามเปียกธรรมดาๆนี่แหละ เอามาขัดผิว สูตรนี้แม่บอกไว้ มีอีกสูตรพี่ไปได้จากชาวบ้านมาคือ น้ำตาลทรายผสมกับน้ำมะนาวแล้วนำมาขัดถูหน้าและตัวเบาๆ สมุนไพรเหล่านี้จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

 

http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/678/675/large_ntnt.JPG?1295512314http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/678/672/large_kanda2mn1.jpg?1295512064

     

     พี่เบิร์ดยังฝากถึงทุกคนว่า ควรจะดูแลสุขภาพของเราให้ดี เมื่อเราดูแลสุขภาพดี คนรอบข้างที่รักเราก็จะมีความสุข และเมื่อเรามีสุขภาพดี เราก็จะเผื่อแผ่ความรักไปให้คนอื่นๆได้ด้วย ......นี่แหละเคล็ดลับ.....ฟิต  แบบพี่เบิร์ด 

                               

                       http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/678/505/large_DSC07251.JPG?1295506478

 

    ข้อมูลจาก ดัชนีสุขภาพสบาย เดลินิวส์ ประจำเดือน มกราคม 2554 ฉบับที่ 1 ปีที่ 1 อ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ เป็นแบบอย่างได้กับทุกคนในการดูแลสุขภาพ ของตนเองแบบง่ายๆ สมุนไพรที่ใช้ก็หาได้ไม่ยาก ปลูกได้เอง ทำใช้ได้เอง  ขอเพียงทำอย่างต่อเนื่องเหมือนพี่เบิร์ดบอก 

  

ด้วยความปรารถนาดี   กานดา แสนมณี

           

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย กานดาน้ำมันมะพร้าว

 

คัดลอกจาก www.gotoknow.org/posts/421513

guest

Post : 2014-02-28 11:23:49.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เจลาติน: การสกัดและแนวทางการนำไปใช้ประโยชน์

 

เจลาติน: การสกัดและแนวทางการนำไปใช้ประโยชน์

เจลาติน: การสกัดและแนวทางการนำไปใช้ประโยชน์

 

ผศ.ดร.สาโรจน์ รอดคืน

เจลาติน

          ปริมาณความต้องการเจลาตินในตลาดโลกมีอัตราการเพิ่มขึ้นทุกปีและมีแนวโน้มว่าจะเป็นอย่างนี้อีกต่อไป โดยจากรายงานพบว่าในปี 2005 ปริมาณเจลาตินที่ออกสู่ตลาดโลกมีสูงถึงประมาณ 326,000 ตัน โดยมีสัดส่วนมาจากเจลาตินที่ผลิตจากหนังหมูถึงร้อยละ 46 หนังวัวร้อยละ 29.4 กระดูกวัวร้อยละ 23.1 และจากแหล่งอื่น ๆ อีกรวมประมาณร้อยละ 1.5 (GME, 2008) เจลาตินไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่เกิดจากการสูญเสียสภาพธรรมชาติของคอลลาเจนโดยการให้ความร้อนหรือการไฮโดรไลซิสบางส่วนของโมเลกุล โดยในระห่างกระบวนการผลิตเจลาตินนั้นวัตถุดิบจะถูกทรีตด้วยสารละลายกรดหรือด่างซึ่งจะไปมีผลทำให้โครงข่ายร่างแหของคอลลาเจนถูกตัดบางส่วนและถูกปลดปล่อยออกมาในสภาวะที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิห้อง เจลาตินในอุตสาหกรรมประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ alpha-chain ซึ่งเป็นสายโซ่เดี่ยว beta-chain ประกอบขึ้นด้วย alpha-chain 2 สายมาเชื่อมต่อกันด้วยพันธะโควาเลนท์ และ gamma-chain ซึ่งประกอบขึ้นจาก alpha-chain จำนวน 3 สายมาเชื่อมต่อกันด้วยพันธะโควาเลนท์เช่นเดียวกัน (Papon และคณะ 2007)

เจลาตินมีน้ำหนักโมเลกุลตั้งแต่ 15 ถึง 300 กิโลดาลตัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและวิธีการในการผลิต โครงสร้างปฐมภูมิของคอลลาเจนและเจลาตินจะประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่แตกต่างกันถึง 18 ชนิด โดยคอลลาเจนจัดเป็นโปรตีนจากสัตว์ที่ประกอบขึ้นด้วยกรดอะมิโนชนิด Hydroxyproline และ hydroxylysine รวมถึงปริมาณ Immino acid ทั้งหมดในปริมาณสูง กรดอะมิโนในเจลาตินจะมีลักษณะไม่แตกต่างจากกรดอะมิโนที่พบในคอลลาเจนต้นแบบ โดยจะมีลักษณะการจัดเรียงตัวแบบ Gly-X-Y แบบนี้ไปอย่างต่อเนื่อง โดยที่ตำแหน่ง X ส่วนใหญ่จะเป็น โพรลีน และที่ตำแหน่ง Y จะเป็น Hydroxyproline (รูปที่ 1) (Eastoe และ Leach, 1977) คอลลาเจนและเจลาตินมีกรดอะมิโนที่สำคัญ เช่น ไกลซีน ไฮดรอกซีไลซิน และ ไฮดรอกซีโปร ลีน และ อนุพันธ์ของ ทริปโทฟาน (ตารางที่ 1) คอลลาเจนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีไฮดรอกซีโปรลีนที่สูงกว่าคอลลาเจนจากปลา โดยทั่วไปสามารถพบคอลลาเจนได้ในส่วนของกระดูก ฟัน หนัง เอ็น และเขาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมโดยพบเป็นองค์ประกอบประมาณร้อยละ 30 ของน้ำหนักตัว แต่ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของสัตว์ (Lacroix และ Cooksey 2005)

 

                               collagen_(alpha_chain)

                                      รูปที่ 1 โครงสร้างทางเคมีของเจลาติน

                                       ที่มาhttp://chempolymerproject.wikispaces.com

 

เจลาตินจากปลา

          เจลาตินจากวัสดุเศษเหลือประเภทหนัง กระดูก และ ครีบ ของปลาน้ำเค็ม (ทั้งเขตน้ำอุ่นและเขตน้ำเย็น) จัดเป็นแหล่งวัตถุดิบทางเลือกในการใช้สำหรับการผลิตเจลาตินได้เป็นอย่างดี โดยแหล่งดังกล่าวนี้มีข้อดีในด้านไม่มีความเสี่ยงจากการปนเปื้อนโรคร้ายจากสัตว์ที่อาจจะถูกส่งผ่านมายังคนโดยเฉพาะโรควัวบ้า (Bovine Spongiform Encephalopathy: BSE) นอกจากนั้นเจลาตินจากปลายังเป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคอิสลาม หรือพวกเคร่งศาสนาอย่างยิวและฮินดูได้อีกด้วย เจลาตินจากปลายังมีข้อดีอีกอย่างคือเป็นผลิตผลพลอยได้ที่มีคุณค่าสูงจากวัสดุเศษเหลือซึ่งปกติจะเป็นสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม Nagai และ Suzuki (2000) รายงานว่าปริมาณคอลลาเจนที่แยกได้จากเศษเหลือของหนังในการแปรรูปปลา Japaness sea-bass, chub mackerel และปลา bullhead shark มีค่าสูงถึงร้อยละ 51.4, 49.8 และ 50.1 ตามลำดับ ซึ่งการผลิตเจลาตินจากเศษเหลือของปลานั้นไม่ได้เป็นสิ่งค้นพบใหม่ แต่ในความเป็นจริงมีการรายงานมาตั้งแต่สมัยปี 1960 แล้วถึงการสกัดเจลาตินจากหนังปลาโดยการใช้วิธีการสกัดด้วยกรดและมีการนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรม มีการจดลิขสิทธิ์เรื่องการสกัดและศึกษาสมบัติด้านต่าง ๆ ของเจลาตินในสหรัฐอเมริกา (US patent) ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมานักวิจัยก็พยายามศึกษาค้นคว้าในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการสกัดเจลาตินจากวัสดุเศษเหลือจากการแปรรูปปลากันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นปลาเขตน้ำเย็น (เช่นปลา cod, hake, Alaska pollock, และปลา salmon) หรือปลาเขตน้ำอุ่น (tuna, catfish, tilapia, Nile perch, shark, และ megrim) ซึ่งสรุปอยู่ในตารางที่ 2

 

ตารางที่ 1 ปริมาณกรดอะมิโนในเจลาตินปลาชนิดต่าง ๆ (ส่วนที่เปรียบเทียบต่อ1000ส่วนของกรดอะมิโน)

Amino acid

Cod skina

Alaska pollock skinb

Hakea

Megrima

Tilapia skinc

Pork skind

Alanine

96

108

119

123

123

112

Arginine

56

51

54

54

47

49

Aspartic acid

52

51

49

48

48

46

Glutamic acid

75

74

74

72

69

72

Glycine

344

358

331

350

347

330

Histidine

8

8

10

8

6

4

Hydoxylysine

6

6

5

5

8

6

Hydroxyproline

50

55

59

60

79

91

Isoleucine

11

11

9

8

8

10

Leucine

22

20

23

21

23

24

Lycine

29

26

28

27

25

27

Methionine

17

16

15

13

9

4

Phenylanine

16

12

15

14

13

14

Proline

106

95

114

115

119

132

Serine

64

63

49

41

35

35

Threonine

25

25

22

20

24

18

Tyrosine

3

3

4

3

2

3

Valine

18

18

19

18

15

26

Imino acid

156

150

173

175

198

223

ที่มา: Karim และ Bhat (2009)

 

การสกัดเจลาตินจากเศษเหลือของปลา

          การเปลี่ยนรูปของคอลลาเจนเป็นเจลาตินทำได้โดยการให้ความร้อนกับตัวอย่างคอลลาเจนทั้งในระบบที่มีสารละลายกรดหรือสารละลายด่าง ความสามารถในการละลายด้วยความร้อนของคอลลาเจนเกิดจากการที่พันธะโควาเลนท์ซึ่งทำหน้าที่ยึดจับกันของแต่ละสายเปปไทด์ถูกทำลาย วิธีการในการสกัดคอลลาเจนหรือเจลาตินมีอิทธิพลต่อความยาวของสายพันธะเปปไทด์และสมบัติเชิงหน้าที่ของเจลาตินที่ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ใช้ในการสกัด เช่น อุณหภูมิ เวลา และ ความเป็นกรด-ด่าง รวมกึงขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบและขั้นตอนการสกัดเบื้องต้น

รูปที่ 2  กระบวนการสกัดและทำบริสุทธิ์เจลาติน

ที่มา: ดัดแปลงจาก Cho และคณะ (2006) และ Bougatef และคณะ (2012)

 

          โดยทั่วไปขั้นตอนหลัก ๆ ในการผลิตเจลาตินนั้นประกอบด้วย 3 ขั้นตอนสำคัญได้แก่ การเตรียมตัวอย่างวัตถุดิบเบื้องต้น (pre-treatment process) การสกัดเจลาติน (extraction) และ การทำบริสุทธิ์การทำแห้งเจลาติน (purification and drying) (รูปที่ 2) และเนื่องด้วยวิธีการในการทรีตตัวอย่างเริ่มต้นทำให้ได้เจลาตินออกมา 2 ประเภทตามวิธีการทรีตตัวอย่าง คือ เจลาติน type A ซึ่งจะมีค่า pI ที่ 6-9 ได้จากการผลิตเจลาตินด้วยกระบวนการสกัดด้วยสภาวะที่เป็นกรด และ       เจลาติน type B ซึ่งจะมีค่า pI ที่ ประมาณ 5 โดยได้มาจากการสกัดด้วยสภาวะที่เป็นด่าง (Stainsby, 1987) การทำ pre-treatment ด้วยสารละลายกรดเป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมสำหรับการใช้ในการสกัดเจลาตินจากหนังหมูหรือหนังปลา ในขณะที่  การทรีตด้วยสภาวะที่เป็นด่างมักนิยมใช้กับหนังสัตว์ใหญ่ซึ่งมีโครงสร้างที่ค่อนซับซ้อนและมีความแข็งแรง เช่น หนังวัว หนังควาย เป็นต้น มีการศึกษวิธีการสกัดเจลาตินจากหนังปลาอย่างหลากหลายโดยสรุปได้บางส่วนดังแสดงในตารางที่ 2 โดยภาพรวมของการสกัดเจลาตินจากปลาจะเป็นกระบวนการสกัดด้วยสารเคมีที่ไม่รุนแรงและใช้อุณหภูมิปานกลางในการสกัด ซึ่งวิธีที่นิยมใช้สำหรับการทรีตตัวอย่างเริ่มต้นก่อนการสกัดเจลาตินจากปลาคือการทรีตด้วยสารละลายกรดอย่างอ่อน

 

ตารางที่ 2 ตัวอย่างชนิดของปลาและวิธีการสกัดเจลาติน

ตัวอย่างปลา

การทรีตตัวอย่างเบื้องต้น

การสกัด

อ้างอิง

Megrim (Lepidorhombus boscii)

ทรีตด้วย NaCl และสารละลายเจือจาง NaOH แล้วบวมหนังด้วย 0.05 M กรดอะซิติก

น้ำอุ่นที่ 45 องศาเซลเซียส

Montero และ Gomez-Guillen (2000).

Nile perch (Lates niloticus) Skins were pretreated by acidulation with

ทรีตด้วย0.01 M กรดซัลฟิวริก (pH of 2.5–3.0) สำหรับกระดูกกำจัดแร่ธาตุโดยทรีตด้วย 3% HCl

น้ำอุ่นที่ 60 องศาเซลเซียส

Muyonga และคณะ (2004)

Grass carp(Ctenopharyngodon idella)

ทรีตด้วย 0.1-0.3% HCl เป็นเวลานาน 7 ชั่วโมงก่อนล้างกรดออก

 

น้ำร้อนที่อุณหภูมิ 40-80 องศาเซลเซียส พร้อมกับการเขย่าด้วยความเร็ว 180 rpm ในอ่างควบคุมอุณหภูมิ

Kasankala และคณะ (2007)

Channel catfish (Ictalurus punctatus)

ทรีตด้วย 50 mM กรดแลกติกในสัดส่วน 1: 8 เป็นเวลา 18 ชั่วโมง ก่อนล้างและปรับ pH 3.5–4.0

น้ำอุ่นที่ 45 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 7 ชั่วโมง

 

Liu และคณะ (2008)

Yellowfin tuna (Thunnus albacares)

1. แช่แข็งที่ -15 องศาเซลเซียส

2. แช่ด้วย 1-3% NaOH สัดส่วน 8 เท่า ที่ 10 องศาเซลเซียสพร้อมกับเขย่าด้วยความเร็ซ 200 rpm นาน 1-5 วัน ก่อนนำมาบวมด้วย 6 N HCl

น้ำร้อนที่อุณหภูมิ 40-80 องศาเซลเซียสนาน 1-9 ชั่วโมง สัดส่วนตัวอย่างต่อน้ำ 6 เท่า

 

Cho และคณะ (2005)

Dover sole (S. vulgaris)

บวมหนังด้วย 50 mM กรดอะซิติก หรือ 25 mM กรดแลกติก

น้ำอุ่นที่ 45 องศาเซลเซียส นานข้ามคืน

Gimenez และคณะ (2005b)

Dover sole (Solea vulgaris)

1. การแช่แข็ง 2. ทรีตด้วยเอทานอล

3. ทรีตด้วยสารละลาย เอทานอล-กลีเซอรอล 80-20 แล้วทำแห้ง

4. ทำแห้งด้วยเกลือทะเล

บวมหนังด้วย 0.05 กรดอะซิติก และตามด้วยการสกัดด้วยน้ำอุ่นที่ 45 องศาเซลเซียส นานข้ามคืน

Gimenez และคณะ (2005a)

ที่มา: Karim และ Bhat (2009)

 

สมบัติทางเคมีกายภาพของเจลาติน

          สมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของเจลาตินคือความสามารถในการเกิดเจลและสมบัติในการหลอมเหลวเนื่องจากความร้อน ซึ่งพบว่าสมบัติดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับความยาวของสายโซ่ ปริมาณและชนิดของกรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบหลัก  นอกจากนั้นสัดส่วนของสายโซ่อัลฟาต่อสายเบต้าที่ปรากฏในเจลาตินมีผลโดยตรงต่อความสามารถในการเกิดเจลและความแข็งแรงของเจลาตินเจลที่ได้ (Cho และ Rhee 2004) เจลาตินหรือคอลลาเจนที่ยังคงสภาพธรรมชาติสามารถแสดงสมบัติการเกิดฟอง การเกิดอีมัลชั่น และเป็นสาร wetting agent ในอาหาร ยา รวมถึงการประยุกต์ใช้ในงานอื่นๆ ทั้งนี้เนื่องด้วยสมบัติในการเป็นสารลดแรงตึงผิว และยังมีประสิทธิภาพในการใช้เป็นอิมัลซิไฟเออร์ ในระบบ oil-in-water emulsions (Lobo 2002) สมบัติทางเคมีกายภาพของเจลาตินที่มีการศึกษากันโดยทั่วไปแสดงดังตารางที่ 3

 

ตารางที่ 3 คุณสมบัติทางเคมีกายภาพของเจลาตินจากปลาชนิดต่าง ๆ

ชนิดของปลา

Bloom strength

(g)

อุณหภูมิการเกิดเจล(°C)

จุดหลอมเหลว (°C)

อ้างอิง

Alaska pollock

98

ไม่ได้รายงาน

21.2

Zhou และคณะ (2006)

Salmon

108

ไม่ได้รายงาน

ไม่ได้รายงาน

Arnesen และ Gildberg (2007)

Cod

not, vert, similar90

11–12

13.8

Gómez-Guillén และคณะ (2002)

Hake

not, vert, similar110

11–12

14

 

Sole

350

18–19

19.4

Gómez-Guillén และคณะ (2002)

Megrim

340

18–19

18.8

 

Sin croaker

124.9

7.1

18.5

Cheow และคณะ (2007)

Shortfin scad

176.9

9.9

24.5

 

 

Bovine: 239.9

Bovine: 19.6

Bovine: 28.9

 

Red tilapia skin

128.1

ไม่ได้รายงาน

22.4

Jamilah และHarvinder (2002)

Black tilapia skin

180.7

 

28.90

 

Tilapia (species unknown)

273

ไม่ได้รายงาน

25.4

Zhou และคณะ (2006)

 

Porcine: 240

 

Porcine: 31.2

 

Tilapia spp.

263

ไม่ได้รายงาน

ไม่ได้รายงาน

Grossman และ Bergman(1992)

Nile tilapia

328

ไม่ได้รายงาน

ไม่ได้รายงาน

Songchotikunpan และคณะ (2008)

Tilapia spp

Not reported

18.2

25.8

Gudmundsson(2002)

 

ค่าสำหรับเจลาติน bovine/porcine มีให้ในบางช่อง

Full-size table

a MG1 –เจลาตินจากหนังปลา megrim เตรียมโดยกรดซิติก0.7% เป็นเวลา 40 นาที; MG2 – เจลาตินจากหนังปลา megrim เตรียมโดยกรดอะซิติกเป็นเวลา 3 ชั่วโมง

ค่าการเกิดเจลและจุดหลอมเหลวได้จากการประมาณการจากกราฟ

bเจลาตินจากหนังปลา  โดยวิธี typical process

c เจลาตินสกัดจากหนังปลา bigeye snapper สกัดด้วยเอนไซม์ pepsin

 

สมบัติเชิงหน้าที่ของเจลาติน

          สำหรับการนำเอาเจลาตินมาประยุกต์ใช้นั้นสมบัติที่สำคัญของเจลาตินคือ ความสามารถในการเกิดเจล และความแข็งแรงของเจล ความหนืด และ การหลอมเหลว คุณสมบัติเหล่านี้มีผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น น้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ย และการกระจายของน้ำหนักโมเลกุล ความเข้มข้นของสารละลายเจลาติน เวลาการเกิดเจล อุณหภูมิการเกิดเจล ความเป็นกรด ด่าง และปริมาณเกลือ มีการศึกษาสมบัติของอาหารที่มีการประยุกต์ใช้เจลาตินปลากันอย่างแพร่หลาย (Choi และ Regenstein 2000; Norland 1990; Osborne และคณะ, 1990) นอกจากนั้นการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างเจลาตินจากแห่งต่างกันต่อสมบัติเชิงหน้าที่ของเจลาตินก็มีการศึกษา เช่น Leuenberger (1991) ได้ทำการเปรียบเทียบสมบัติเชิงหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ระหว่างเจลาตินปลาและเจลาตินจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นอกจากนั้นสมบัติเชิงหน้าและเคมีกายภาพของเจลาตินปลาในด้านอื่น ๆ ยังมีการศึกษากันอย่างแพร่หลาย เช่น สมบัติทางด้านการไหล (Badii และ Howell 2006; Gilsenan และ Ross-Murphy 2000; Gudmundsson 2002; Haug และคณะ 2004; Jamilah และ Harvinder 2002; Muyonga และคณะ 2004; Zhou และ Regenstein 2007) สมบัติในการเกิดฟอง (Avena-Bustillos และคณะ 2006; Jongjareonrak และคณะ 2006; Zhang และคณะ 2007) เป็นต้น ซึ่งสมบัติเชิงหน้าที่ของเจลาตินและความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ประโยชน์แสดงดังตารางที่ 4

 

ตารางที่ 4 สมบัติเชิงหน้าที่ของเจลาตินและความเป็นไปได้ในการนำไปประยุกต์ใช้

การประยุกต์ใช้

สมบัติของเจลาตินที่ต้องการ

สารทางเลือกอื่น ๆ

ข้อจำกัดของสารทางเลือก

ขนมหวานพร้อมรับประทาน

ความใส เนื้อสัมผัสยืดหยุ่น ละลายในปาก

Algin, gellan และ carrageenan

ความหนืดสูง อุณหภูมิในการเซ็ทตัวสูง

ขนมขบเคี้ยวแบบเหนียว

เนื้อสัมผัสยืดหยุ่น ความใส ความหนืดขณะร้อนต่ำ อุณหภูมิในการเซ็ทตัวต่ำ

Gellan gum blends, carrageenan, modified starch

อุณหภูมิในการเซ็ทตัว และความหนืดขณะร้อน เนื้อสัมผัสและความยืดหยุ่น

ขนมขบเคี้ยวประเภทเกิดโฟม

ความคงตัวของโฟม เนื้อสัมผัสยืดหยุ่น

modified starch/emulsifier

เนื้อสัมผัส ความยืดหยุ่นต่ำ อุณหภูมิในการเซ็ทตัวสูง

อาหารสำหรับทาขนมปังชนิดไขมันต่ำ

เนื้อสัมผัสยืดหยุ่นได้ ละลายได้ในปาก ความคงตัวของอิมัลชัน

Sodium alginate/

gellan/inulin/ gum blends maltodextrin

ต้นทุนสูง ประยุกต์ใช้ได้ดี

โยเกิร์ต

ความรู้สึกในปาก creamy ป้องกันการเกิด yneresis

Gellan/modified/starch/xanthan/pectin/ LBG

ความหนืดสูง และอุณหภูมิในการเซ็ทตัวสูง

เนยเปรี้ยว

เนื้อสัมผัสนุ่มละเอียด ความรู้สึกในปาก creamy

Gellan gum with modified starch

และอุณหภูมิในการเซ็ทตัวสูงในขณะแปรรูป

ที่มา: Karim and Bhat (2008)

 

การใช้ประโยชน์เจลาติน

          เจลาติน เป็นพอลิเมอร์ชีวภาพชนิดซึ่งได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีการนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เภสัชกรรม เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมภาพถ่าย ทั้งนี้สืบเนื่องจากสมบัติที่โดดเด่นของเจลาติน สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร มีการนำเจลาตินมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิด เช่น ขนมขบเคี้ยว ผลิตภัณฑ์ไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ขนมอบ และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ โดยในแต่ละผลิตภัณฑ์ต้องการสมบัติที่แตกต่างกันซึ่งมีอยู่ในเจลาติน มีการใช้เจลาตินในผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นเจลหรือใช้เพื่อเพิ่มลักษณะเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ โดยพบว่าเจลาตินสามารถลดปัญหาการไหลเยิ้มของน้ำออกจากตัวผลิตภัณฑ์ในผลิตภัณฑ์เจลขึ้นรูปบางชนิดได้ เจลาตินที่สามารถเกิดเจลในอุณหภูมิต่ำ สามารถใช้กับอาหารได้อย่างหลากหลาย ตัวอย่างเช่น สารเก็บกักกลิ่น และเก็บกักตามินซี ซึ่งไวต่อการเสื่อมเสีย อย่างไรก็ตามการประยุกต์ใช้เจลาตินในอาหารนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังแสดงในตารางที่ 5

ในอุตสาหกรรมยาใช้เจลาตินสำหรับเป็นตัวนำส่งยา การผ่าตัด การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ การสมานแผล และการนำเจลาตินมาใช้เป็นแคปซูลยาทั้งชนิดอ่อนและชนิดแข็ง เป็นต้น เนื่องด้วยเจลาตินมีแคลอรี่ต่ำดังนั้นจึงมักจะถูกแนะนำให้ใช้เป็นส่วนประกอบอาหารเพื่อเพิ่มปริมาณโปรตีนให้กับผู้บริโภคโดยเฉพาะในผู้บริโภคที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อให้กับร่างกาย นอกจากนั้นเจลาตินยังถูกใช้เป็นส่วนประกอบอาหารเพื่อทดแทนปริมาณคาร์โบไฮเดรตในสูตรอาหารควบคุมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย

 

ตารางที่ 5 ข้อดีและข้อเสียของการประยุกต์ใช้เจลาตินในตัวอย่างอาหาร

ข้อดี

ข้อเสีย

ทำหน้าที่ได้หลากหลาย เช่น เนื้อสัมผัส พื้นผิวสัมผัส อิมัลซิไฟเออร์ เพิ่มความคงตัว ฟอร์มตัวเป็นฟิล์ม

มีความคงตัวต่อความร้อนต่ำ

ละลายในอุณหภูมิร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งปลดปล่อยกลิ่นรสที่อยู่ข้างในออกมาได้

อุณหภูมิในการเกิดเจลต่ำ เกิดเจลช้า

เนื้อสัมผัสโดดเด่น มีความยืดหยุ่นและ มีความสุกใน

ละลายในสภาวะอุณหภูมิสูงเท่านั้น

สะดวกต่อกระบวนการ

ความแครงใจของผู้บริโภคในเรื่องการปนเปื้อนของโรควัวบ้า (BSE)

เพิ่มคุณค่าทางด้านโปรตีน

ได้มาจากสัตว์อาจจะมีข้อจำกัดสำหรับพวก vegetarian/vegans

ป้องกันโรคข้อเสื่อมและกระดูกพรุน

ข้อห้ามทางศาสนา

ที่มา: Karim and Bhat (2008)

 

เอกสารอ้างอิง

Avena-Bustillos, R. J., Olsen, C. W., Chiou, B., Yee, E., Bechtel, P. J., & McHugh, T. H. (2006). Water vapor permeability of mammalian and fish gelatin films. Journal of Food Science, 71: E202–E207.

Badii, F., & Howell, N. K. (2006). Fish gelatin: Structure, gelling properties and interaction with egg albumen proteins. Food Hydrocolloids, 20: 630–640.

Bougatef, A., Balti, R., Sila, A., Nasri, R., Graiaa, G., & Nasri, M. (2012). Recovery and physicochemical properties of smooth hound (mustelus mustelus) skin gelatin. LWT - Food Science and Technology, 48: 248-254.

Cho, S. H., Jahncke, M. L., Chin, K. B., & Eun, J. B. (2006). The effect of processing conditions on the properties of gelatin from skate (Raja kenojei) skins. Food Hydrocolloid, 20: 810–816.

Cho, S. Y., & Rhee, C. (2004).  Mechanical properties and water vapor permeability of edible films made from fractionated soy proteins with ultrafiltration. Lebensmittel-Wissenschaft und-Technologie, 37:  833–839.

Choi, S.-S., & Regenstein, J. M. (2000). Physicochemical and sensory characteristics of fish gelatin. Journal of Food Science, 65: 194–199.

Eastoe, J. E., & Leach, A. A. (1977). hemical constitution of gelatin. In A. G. Ward, & A. Courts (Eds.), The science and technology of gelatin (pp. 73–107). New York: Academic Press.

Gilsenan, P. M., & Ross-Murphy, S. B. (2000). Rheological characterisation of gelatins from mammalian and marine sources. Food Hydrocolloids, 14: 191–195.

GME. (2008). Gelatin Manufacturers of Europe. http://www.gelatine.org/en/gelatine/overview/127.htm. Accessed 29.08.13.

Gudmundsson. (2002). Rheological properties of fish gelatin. Journal of Food Science, 67: 2172–2176.

Haug, I. J., Draget, K. I., & Smidsrd, O. (2004). Physical behaviour of fish gelatin-kcarrageenan mixtures. Carbohydrate Polymers, 56: 11–19.

Jamilah, B., & Harvinder, K. G. (2002). Properties of gelatins from skins of fish-black tilapia (Oreochromis mossambicus) and red tilapia (Oreochromis nilotica). Food Chemistry, 77, 81–84.

Jongjareonrak, A., Benjakul, S., Visessanguan, W., & Tanaka, M. (2006). Effects of plasticizers on the properties of edible films from skin gelatin of bigeye snapper and brownstripe red snapper. European Food Research and Technology, 222: 229–230.

Karim, A.A., & Bhat, R. (2008). Gelatin alternative for food industry: recent developments, challenges and prospects. Trends in Food Science and Technology, 19: 644-656.

Karim, A.A., & Bhat, R. (2009). Fish gelatin: properties, challenges, and prospects as an alternative to mammalian gelatins. Food Hydrocolloids, 23: 563-576.

Lacroix, M. & Cooksey, K. (2005). Edible films and coatings from animal origin proteins. Chapter In: Innovations in Food Packaging. Han, J.H. Ed. Academic Press. London, England. Proofs approved, awaiting publication of book.

Leuenberger, B. H. (1991). Investigation of viscosity and gelation properties of different mammalian and fish gelatins. Food Hydrocolloids, 5: 353–361.

Lobo, L. (2002). Coalescence during emulsification; 3. Effect of gelatin on rupture and coalescence, Journal of Colloid and Interface Science, 254: 165–174.

Muyonga, J. H., Cole, C. G. B., & Duodu, K. G. (2004). Extraction and physico-chemical characterisation of Nile perch (Lates niloticus) skin and bone gelatin. Food Hydrocolloids, 18: 581–592.

Nagai, T., & Suzuki, N. (2000). Isolation of collagen from fish waste material – skin, bone and fins. Food Chemistry, 68: 277–281.

Norland, R. E. (1990). Fish gelatin. In M. N. Voight, & J. K. Botta (Eds.), Advances in fisheries technology and biotechnology for increased profitability (pp. 325–333). Lancaster: Technomic Publishing Co.

Osborne, K., Voight, M. N., & Hall, D. E. (1990). Utilization of lumpfish carcasses for production of gelatin. In M. N. Voight, & J. K. Botta (Eds.), Advances in fisheries technology and biotechnology for increased profitability (pp. 143–153). Lancaster, PA: Technomic Publishing Co.

Papon, P., Leblon, J., & Meijer, P. H. E. (2007). Gelation and transitions in biopolymers. In The physics of phase transitions (pp. 189–213). Berlin, Heidelberg: Springer.

Stainsby, G. (1987). Gelatin gels. In A. M. Pearson, T. R. Dutson, & A. J. Bailey (Eds.), Collagen as food. Advances in meat research, vol. 4 (pp. 209–222). New York: Van Nostrand Reinhold Company, Inc.

Zhang, S., Wang, Y., Herring, J. L., & Oh, J.-H. (2007). Characterization of edible film fabricated with Channel catfish (Ictalurus punctatus) extract using pretreatment methods. Journal of Food Science, 72: 498–503.

Zhou, P., & Regenstein, J. M. (2007). Comparison of water gel desserts from fish skin and pork gelatins using instrumental measurements. Journal of Food Science, 72: C196–C201

Event date: 

 Fri, 2013-08-30 (All day)

คัดลอกจาก www.mfu.ac.th/school/agro2012

guest

Post : 2014-02-03 09:32:18.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  น้ำมันมะพร้าว

 

 

รู้จักน้ำมันมะพร้าว



    น้ำมันมะพร้าวอาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ น้ำมันมะพร้าวทั่วไป (RBD Coconut Oil)  และน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil) ซึ่งน้ำมันมะพร้าว อย่างหลังกำลังได้รับความสนใจอย่างสูงเนื่องจากเป็นที่นิยมและยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีคุณประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ

น้ำมันมะพร้าวทั่วไป (RBD Coconut Oil)             
     น้ำมันมะพร้าวที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น ใช้ในการทอดอาหาร หรือในการผลิตอาหารต่างๆ เป็นน้ำมันมะพร้าวที่ผลิตจากเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) น้ำมันที่สกัดได้จะต้องผ่านขบวนการทำให้บริสุทธิ์ (Refined) การฟอกสี (Bleached) และกำจัดกลิ่น (Deodorized) ก่อนที่จะนำไปบริโภค น้ำมันชนิดนี้บางครั้งจะถูกกล่าวถึงว่าเป็น น้ำมันธรรมชาติ” (Natural Coconut Oil) แต่ความจริงเป็นน้ำมันมะพร้าวชนิด RBD (Refined, Bleached, Deodorized) น้ำมันชนิดนี้จะมีความหนืด และมีสีเหลืองอ่อน                                                                                                               

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil)                        
     น้ำมันมะพร้าวอีกชนิดหนึ่ง รู้จักกันในชื่อ น้ำมันมะพร้าวเวอร์จิ้น” (Virgin Coconut Oil) หรือน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ซึ่งมีขบวนการผลิตที่พิถีพิถันมาก ที่เรียกว่า Cold Process หรือ Cold Pressed เพราะไม่มีการใช้ความร้อนเลย ทำให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพพิเศษ ที่มีกลิ่นหอม รสชาติดี อุดมด้วยวิตามิน E และสาร Antioxidants และได้รับการกล่าวขวัญว่ามีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ 

ขั้นตอนการผลิตน้ำมันมะพร้าวทั่วไป (RBD)                     
    
เนื้อมะพร้าวจะถูกนำมาทำให้แห้ง โดยการตากหรืออบในเตา เพื่อให้น้ำในเนื้อมะพร้าว ลดลงจากประมาณ 50% เหลือ 3.5% จากนั้นเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) จะถูกบด และนำไปผสมกับน้ำเดือด ก่อนที่จะผ่านต่อไปยังเครื่องนวด เพื่อคั้นน้ำมันออกมาให้ได้มากที่สุด หลังจากแยกกากออก ส่วนผสมที่ได้จะถูกเคี่ยวช้าๆ ด้วยความร้อนต่ำ เป็นเวลานานเพื่อให้ น้ำระเหยออกไป จนเหลือแต่น้ำมัน (ผู้ผลิตบางรายอาจใช้วิธีต้ม Copra ที่บดแล้ว และบางรายอาจใช้สารละลาย เพื่อช่วยให้สกัดน้ำมันได้มากขึ้น เศษกากมะพร้าวที่เหลือมีโปรตีนสูง และมักใช้เป็นอาหารสัตว์) น้ำมันที่ได้จะต้องผ่านขบวนการกรอง เพื่อแยกสิ่งแปลกปลอมออกแล้วนำไปต้มเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพื่อขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ การฟอกสีและการกรองอีกครั้งจะทำให้ได้น้ำมันมะพร้าวที่ไม่มีสี และปราศจากกลิ่นหรือแม้แต่รสชาติ ผู้ผลิตส่วนมากจะเติมสี เพราะเกรงว่าน้ำมันใสๆ จะไม่ถูกใจผู้บริโภค     

ขั้นตอนการผลิตน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil)
     
ในขบวนการผลิตจะใช้ระบบ Cold Press ซึ่งจะไม่มีการใช้ความร้อนใดๆ ทั้งสิ้น งานส่วนใหญ่จะทำด้วยมือ โดยเริ่มจากการคัดเฉพาะมะพร้าวคุณภาพดี จากนั้นนำเนื้อมะพร้าวสดไป ขูดหรือ บด”  โดยใช้เครื่องขูด/บดมะพร้าว เนื้อมะพร้าวที่ขูดแล้ว จะถูกนำไปใส่ถุงตาข่ายพิเศษ และคั้นน้ำกะทิออกด้วยมือหรือเครื่องอัดแบบใช้มือ (Manual Press) น้ำกะทิที่ได้จะถูกนำไปผสมกับน้ำมะพร้าว และปล่อยทิ้งไว้ให้แยกตัว (Culturing) ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 20 ชั่วโมง ส่วนผสมจะแยกตัวออกเป็น 3 ชั้น ชั้นบนจะเป็นส่วนของโปรตีน ชั้นกลางจะเป็นน้ำมันมะพร้าว และชั้นล่างสุดจะเป็นน้ำ น้ำมันที่ได้จะถูกแยกออกมากรอง และแยกส่วนน้ำทิ้งไป แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แยกตัว (Resting) ขบวนการที่ปล่อยน้ำมันทิ้งไว้ (Resting) ตามด้วยการแยกตัวและแยกน้ำออก (Decanting) และกรอง (Filtering) เรียกว่า “Curing” หรือ การบ่มน้ำมันมะพร้าวจะถูกแยกตัว และกรองครั้งสุดท้าย หลังสิ้นสุด 3 สัปดาห์  น้ำมันที่ได้จะเป็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ Virgin Coconut Oil ซึ่งจะมีคุณสมบัติพิเศษคือ นอกจากจะใสบริสุทธิ์แล้ว ยังจะมีกลิ่นหอม  และรสชาติของมะพร้าวอ่อนๆ อีกด้วย  สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นปีโดยไม่ต้องใส่ตู้เย็น  และปราศจากกลิ่นหืนใดๆทั้งสิ้น  ทั้งนี้เป็นเพราะสาเหตุอันเนื่องมาจากสาร Tocopherol ในน้ำมันไม่ถูกทำลายลงด้วยขบวนการใช้ความร้อน  ซึ่งสารตัวนี้ทำหน้าที่เสมือนสารกันบูดโดยธรรมชาติ  น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin) จะแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 25 องศา

บทบาทของน้ำมันมะพร้าวต่อความงาม
     เกี่ยวกับเรื่องนี้น้ำมันมะพร้าวมีข้อดีคือ ต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านการเติมออกซิเจน โดยการป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกเติมออกซิเจน ได้ง่าย ๆ ประกอบด้วยสารโทโคไทรอีนอลที่มีอานุภาพสูง วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าว มีสารโทโคไทรอีนอล ซึ่งเป็นรูปของวิตามินอีที่มีคุณภาพสูงกว่าสารโทโคเฟอรอลซึ่งอยู่นวิตามินอีทั่วไป โดยเฉพาะที่มีอยู่ในเครื่องสำอางรักษาผิวถึง 40-50 เท่า ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ผิวสวย การนวดหรือชโลมตัวด้วยน้ำมันมะพร้าว ช่วยให้ผิวสวย เพราะ
    1.1 ผิวดูอ่อนวัย น้ำมันมะพร้าวที่ใช้ชโลมตัว ทั้งในรูปน้ำมันมะพร้าวสด ๆ หรือในรูปของผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าว เช่น ครีม และโลชั่นจะทำให้ผิวพรรณนุ่มไม่แตกแห้งเป็นกระ หรือฝ้า แต่ชุ่มชื้นและเนียน ปราศจากริ้วรอย และเหี่ยวย่น ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวมีวิตามินอีที่มีอานุภาคมากกว่าวิตามินอีในเครื่องสำอาง
    1.2 ผิวนุ่มและเนียน ตามปกติผิวหนังจะสูญเสีย ความชื้นเพราะถูกแดดและลมน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น(moisturizer) จึงช่วยให้ผิวหนังนุ่มและเนียน
    1.3 ช่วยป้องกันและรักษาฝ้า และ กระ อนุมูลอิสระ เป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า (รอยดำคล้ำหรือปนสีน้ำตาลอ่อน) และกระ วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ทำลายอนุมูลอิสระเหล่านี้เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นยาทากันแดดได้ดี อีกทั้งยังไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนยากันแดดบางชนิด และราคาก็ถูกกว่า

2. ผมงาม เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นนำมันพืชที่มีคุณสมบัติที่เพิ่มความชุ่มชื้น อีกทั้งมีสารปฏิชีวนะ (จากโนโนลอริน) และสาร antioxidant (จากสารโทโคทรินนอลในวิตามินอี) จึงมีส่วนทำให้ผมงาม จากคุณสมบัติต่อไปนี้
    2.1 ช่วยปรับสภาพผม น้ำมันมะพร้าวเป็น Hair conditioner ที่ช่วยทำให้ผมนุ่มดำเป็นเงางาม เพราะมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมการเจริญของเส้นผม
    2.2 ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศรีษะ น้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาสุขภาพของหนังศรีษะทั้งนี้ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารปฏิชีวนะที่คอยทำลายเชื้อโรค หนังศรีษะจึงไม่มีรังแค หนังศรีษะจึงมีสุขภาพดี
    2.3 ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี เส้นผมประกอบด้วยส่วนนอก ที่ทำหน้าที่หุ้มส่วนใน หากส่วนนอกอยู่ในสภาพที่ดี ไม่ฉีกขาดหรือแหว่งนั้น เส้นผมก็จะปกติ แต่ส่วนที่ทำให้เส้นผมมีสุขภาพดี

กล่าวคือ น้ำมันมะพร้าวช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติยึดเกาะ กับโปรตีนของเส้นผมได้ดี อีกทั้งมีขนาดของโมเลกุลเล็กจึงแทรกซึมเข้าไปในเส้นผมได้สะดวก

วิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ 100%
     
น้ำมันมะพร้าวจะเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องสาเซ็นเซียส (ไม่ได้เสีย) และจะกลับมาใสเหมือนเดิมที่อุณหภูมิห้อง โดยที่คุณสมบัติทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

ข้อมูลจาก :
http://www.primthaispa.com
http://www.filterinternational.com

 

น้ำมันมะพร้าว


[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]

guest
อาร์ม
- Guest -

Post : 2013-08-08 08:31:16.0     Forum: สอบถาม  >  อยากทราบว่ามีนมแพะจำหน่ายไหมคะ

ถ้ามี ซื้อได้ที่ไหนบ้างคะ ขอบคุณค่ะ

guest
อุไรวรรณ
- Guest -

Post : 2013-07-04 10:02:27.0     Forum: สอบถาม  >  เห็นหลินจือแคปซูล จิตรลดา

...ไม่ทราบว่า..ยังมีสินค้า..เห็ดหลินจือ แคปซูลของสวนจิตรลดา..อยู่ไหมค่ะ....อุไรวรรณ

guest
สุพรรษา
- Guest -

Post : 2013-04-02 16:52:25.0     Forum: สอบถาม  >  ยาสระผม และครีมนวด ยี่ห้อก๊กเลียง

ขอสอบถามว่า  ที่ร้านมียาสระผม และครีมนวดยี่ห้อก๊กเลียง หรือไม่  ถ้ามีอยู่ที่สาขาไหนบ้างค่ะ

ขอบคุณค่ะ

1 | 2 다음 끝

สินค้าโครงการหลวง และสินค้าสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สมุนไพรเพื่อความงาม